จะฝึกนานแล้วหรือเพิ่งเริ่ม
ก็ค่อยๆทำไปเรื่อยๆโยม
ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน
แล้วเราจะทำไปได้ตลอด..
ปฏิบัติธรรมไปก็เพื่อผ่อนคลาย สบายๆ ใช่ไหมโยม ?
ก็ให้อยู่กับรู้ไปเรื่อยๆ..
ถ้ากำลังสติเราพัฒนาขึ้น เราก็จะรู้สึกได้เอง
..เริ่มตั้งแต่ฐานกาย รู้ความรู้สึกของร่างกาย
จนรู้พร้อมกันได้ทั้งกาย
จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จนรู้จิตที่ตั้งมั่น
จนเกิดความรู้ตื่น เบิกบาน หลุดจากอุปาทาน..
..แล้วสุดท้ายมันก็จะเข้าสู่เนื้อว่าง เนื้อที่เป็นวิสังขาร
ใหม่ๆ..เข้าถึงได้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หลุดออกมา
แต่พอเราฝึกไปมากขึ้น มันจะค่อยๆเข้าถึงได้บ่อยขึ้น
จนมันหยั่งเข้าถึงอมตธรรมได้ทรงตัวขึ้น..
ที่ทรงตรัสว่า
"พระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์"
..เพราะท่านเหล่านั้นหยั่งเข้าสู่อมตะตรงนี้โดยสมบูรณ์
ว่าง บริสุทธิ์ ตลอดกาล..
แต่ข้างนอกท่านก็จะใช้ธาตุขันธ์ได้ปรกติ
..สามารถอยู่ได้ทั้ง 2 ฝั่ง
แล้วเมื่อใดที่ต้องละจากโลกนี้ไป
ก็คือทิ้งสังขาร..เข้าสู่วิสังขาร
..พอเราเข้าถึงเนื้อสภาวธรรมตรงนี้ได้
เราจะได้ไม่ต้องลังเลสงสัยอีก
ตกลงนิพพานมันเป็นยังไง ?
มันสูญ..หรือมันศูนย์..หรือมันเป็นอย่างไร ?
พอเราได้สัมผัสด้วยตัวเราเอง
เราจะรู้แล้ว เออตกลงมันเป็นยังไง
พอถึงเนื้อที่มันไม่ปรุงแต่ง มันเหมือนกันทุกคนแหละ
สบายกว่าไหม ? ...สบายกว่า
..สุขในสมาธิว่ามันประณีต
แต่พอเจอเนื้อที่มันไม่ปรุง..
มันบริสุทธิ์กว่า มันมีความเนียน บริสุทธิ์..
แล้วมันมีความสุขที่มันไม่ต้องอิงอาศัยกับสิ่งใด
มันเป็นความบริสุทธิ์
มันเป็นความอิสระที่มันไม่เกาะเกี่ยวไม่รัดรึง..
..เพราะฉะนั้นมันเป็นโอกาสทองของชีวิตเรา
ที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา
"ได้มีโอกาสที่จะฝึกฝนสติปัฏฐาน4"
เป็นโอกาสที่เราจะปลดเปลื้องตน
จากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง..
เข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์...
"ที่สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้"