เราอยู่กับวิปัสสนาญานไปตลอดเลยดีไหม?
...ก็ดีสำหรับบางคน
...แล้วไม่ดีสำหรับบางคน
โดยเฉพาะคนที่ทำงานทำการ พบปะผู้คนต่างๆ
เวลาข่ายมันบานออก จะไปรับกระแสคนรอบข้างได้ง่าย
ถ้าเราไปอยู่ใกล้คนที่กำลังซึมเศร้าอยู่
เราก็จะไปรับกระแสความเศร้าเข้ามา
เวลาคนเศร้า จะมีพลังงานความเศร้าอยู่ข้างใน
สุดท้าย เราจะเศร้าซะเอง โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ถ้าเราไปอยู่ใกล้คนที่กำลังโกรธ
ขุ่นเคืองอยู่ หงุดหงิดอยู่
เวลาเค้ารู้สึกโกรธ มันจะพลังงานที่ผุดอยู่ข้างใน
พอเราไปอยู่ใกล้เค้าปุ๊บ
ความรู้สึก หรือพลังงานตรงนั้น
มันจะถูกรู้ แล้วจะผุดขึ้นมาในใจของเรา
กลายเป็นเราโกรธขึ้นมาแทน
เพราะฉะนั้น เราจะเริ่มใช้ชีวิตยากแล้ว
บางทีก็เศร้า
บางทีก็โกรธ
บางทีก็เสียใจ
บางทีก็ฟุ้งซ่าน
ทั้งๆที่การปฏิบัติของเราทำได้ดี
แต่บางทีมันไปรับอารมณ์คนรอบข้าง
หรือ รับกระแสภายนอก
อันนี้เรียกว่า สภาวะแบบเปิด
คือ มันเปิดรับ
เหมือนเรามีบ้าน เราเปิดประตู
เปิดหน้าต่างรับลม มันสบาย มันโล่ง
แต่ในความเป็นจริง เป็นยังไง?
กระแสจากข้างนอก ก็เข้ามาได้
สภาวะเปิดก็เช่นกัน มันเบิกบาน เห็นสภาวธรรม
แต่ว่ามีกระแสจากภายนอก เข้ามาได้
มันทำให้เครื่องรวนง่าย
แล้วเราควรจะทำอย่างไร?
ก็ต้องปิดเป็น เปิดเป็น
เหมือนเรามีบ้าน เราเปิดได้ เราก็ต้องปิดได้
พอเราฝึกเปิดปิดได้ ก็ควบคุมสถานการณ์ได้
เวลาไปอยู่กับคนภายนอก
เราก็อยู่แค่ ตื่นรู้ข้างใน
หรืออยู่กับกาย ความรู้สึกตัว
ไม่เปิดการรับรู้กว้างออกไป
แต่เวลาเราอยู่ในที่ส่วนตัว
สภาวะละเอียด
มันจะเบิกบาน การรับรู้จะกว้างออก
การที่เราฝึกตรงนี้
สามารถพลิกเป็นสมาธิก็ได้
เป็นวิปัสสนาก็ได้
จะทำให้ " โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่ขุ่น "
โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ อยู่ในเมือง
ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
แค่เรื่องตัวเอง ก็เยอะอยู่แล้ว
ถ้าต้องไปรับเรื่องชาวบ้าน ยิ่งเยอะเลย
บางทีปฏิบัติละเอียด จะรู้สึกเหนื่อยแล้ว
ไปโรงพยาบาล ก็ไปรับกระแสอะไรก็ไม่รู้เต็มเลย
หรือ บางทีไปงานศพ ก็ไปรับกระแส
กลายเป็นคนที่รับกระแสง่าย
เพราะฉะนั้น ปัญหาสำหรับคนใหม่
กับปัญหาของคนที่จิตละเอียด
มันต่างกัน
ปัญหาคนใหม่ คือ ฟุ้ง ขี้เกียจ ลังเลสงสัย
แต่ปัญหาสำหรับคนที่จิตละเอียดแล้ว
คือ ไปรับกระแสได้ง่าย
เพราะฉะนั้น เวลาจิตละเอียด
ก็ต้องฝึกเปิดให้เป็น ปิดให้เป็น
เวลาเราอยู่ข้างนอก เราก็ปิดซะ
พอปิด มันก็ไม่ไปรับกระแสข้างนอก
เหมือนเราปิดบ้านปิดช่อง ให้เรียบร้อย
อย่างยุคนี้เห็นหลายคน อยากมีหูทิพย์ ตาทิพย์
รู้นู่น รู้นี่ หรือ บางทีก็ไปเปิดจักระบ้าง ไปเปิดตาที่ 3 บ้าง
หารู้ไม่เลยว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อมรรค ผลนิพพานแค่ไหน
เราให้เค้าเปิด แต่เราปิดไม่เป็น
มันก็เหมือนเราเปิดบ้านทิ้งไว้
สมัยนี้เป็นไง...โจรมันชุม อะไรไม่รู้สิ่งไม่ดีมันเข้ามาในตัวเราได้ง่าย
บางคนก็เสียสติไปเลย
แต่ถ้าเราฝึกด้วยตัวเราเอง
ฝึกสติปัฏฐาน จนจิตตั้งมั่น แล้วเบิกบาน
เปิดเป็น มันก็ต้องปิดเป็น
อันนี้เราคอนโทรลตัวเองได้
เพราะฉะนั้น จะไม่แนะนำว่าให้ไปเปิดให้ใคร
ไม่ว่าจะเปิดตาที่ 3 หรือเชื่อมกระแสจักระ หรือ เปิดจักระอะไรก็ตาม
ให้ใช้การฝึกสติด้วยตนเอง
พอกำลังเราถึงขั้น มันจะเปิดเอง
แล้วพอมันเปิดเป็น มันก็ต้องปิดเป็น
เพราะเรามีกำลังสติแล้ว
แต่ถ้าเราให้คนอื่นเปิดให้ เราไม่มีกำลังสติ
เราปิดไม่เป็นไง
เปิดทีนี้ก็...ต้องมานั่งแก้ปัญหาให้แต่ละคนให้วุ่นวาย
มันไม่สนุกหรอก การที่จะไปรับอารมณ์
การจะไปรู้เห็น ความเป็นทิพย์
เค้าไม่รู้เลยว่า เค้าถูกหลอก ถูกลวงขนาดไหน
มันเป็นอันตรายต่อ มรรคผลนิพพาน
สิ่งที่แนะนำ คือ ให้ฝึกพื้นฐานให้ดี
กายคตาสติ จนมีสติตั้งมั่น เดินสภาวะด้วยตนเองให้เป็น
พอถึงจุดนึง เปิดเป็น ก็ฝึกปิดเป็นได้
อันนี้ไม่มีปัญหาแล้ว
อยู่ข้างนอก เราก็ปิดซะ
พออยู่ในที่ส่วนตัว ก็จะเปิดออก
เพราะว่า เวลากำลังมันละเอียด
มันจะเปิดออก
จิตมันจะโล่ง เบิกบานออกไป
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์